ลมหนาวมักพาให้เราอยากออกเดินทาง เปรียบเหมือนแรงผลักให้พาตัวเองขึ้นเหนือไปให้สุดเพื่อสัมผัสความเย็นยะเยือกที่ดินแดนต้นลมและประเทศจีน ก็เป็นอีกจุดหมายปลายทางในอุดมคติของใครหลายๆ คน โดยจางเจียเจี้ยเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่น่าหลงใหลเชิญชวนให้นักเดินทางเข้ามาสัมผัสและชื่นชมความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น เชิญชวนให้ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาเก็บเกี่ยวความประทับใจของร่องรอยอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ที่ยังคงมีลมหายใจนี้
ต้องยอมรับว่า หนังดังที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่และทำลายทุกสถิติบนโลกภาพยนตร์อย่าง อวตาร (Avatar) สร้างแรงกระเพื่อมให้กับการท่องเที่ยวประเทศจีนอย่างมาก ไม่ใช่เพียงชาวจีนจะรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจกับฉากหุบเขาและภูเขาแท่งสูงเสียดฟ้าประจันหน้าเมฆหมอก ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ฉากสำคัญในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ความงดงามสุดอัศจรรย์ยังเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก เกิดกำหนดจุดหมายใหม่ในการเดินทางมายัง “จางเจียเจี้ย” ดินแดนบริสุทธิ์ มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีน
การเดินทางไป จางเจียเจี้ย นั้นง่ายดายดั่งใจนึก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ปรารถนาจะเดินทางไปชื่นชมธรรมชาติ แบบ “ทัวร์พาเที่ยว” หรือ “ เที่ยวด้วยตัวเอง” ก็สามารถแพลนทริปได้ทันที เพราะสายการบินไทยสมายล์ให้บริการบินตรงจากสุวรรณภูมิไปยังสนามบินฉางซาถึง4เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (จันทร์/พุธ/ศุกร์/อาทิตย์) หลังจากได้รับความสะดวกสบายจากบริการแบบฟูลเซอร์วิสบนเครื่องด้วยระยะเวลาเพียง3 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสนามบินฉางซาเตรียมตัวออกจากสนามบินฉางซาแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด สัมผัสกับอากาศเย็นและลมหนาวของมณฑลหูหนานให้เต็มที่ จากนั้นเดินทางต่อไปเมืองจางเจียเจี้ยด้วยรถบัส ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จะเข้าใกล้จุดหมายที่ตั้งใจไว้แล้ว
สไตล์การท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้เมื่อมาถึงจางเจียเจี้ย คือการเดินทางแบบ “Snap the Nature” เปิดประสาทสัมผัสทุกส่วนให้พร้อมชื่นชม “สวรรค์บนดิน” เริ่มกันที่ เขาเทียนจื่อซานหรือที่เรียกกันว่า หุบเขาอวตารหรือขุนเขาจักรพรรดิ ชวนให้นักเดินทางกดชัตเตอร์รัวๆ กับภูเขาหินทรายรูปร่างแปลกตามากกว่า 3,000 ยอดสูงเกือบหนึ่งกิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเลอายุเก่าแก่กว่า 380 ล้านปีที่ตั้งอยู่ตรงหน้าและล้อมรอบตัว ต่อด้วยสถานที่ไฮไลท์ ถ้ำเทียนเหมินซาน หรือที่คนไทยรู้จักกันดีว่าถ้ำประตูสวรรค์ผลงานเนรมิตของธรรมชาติเกิดเป็นซุ้มประตูหรือช่องกว้างใหญ่ระหว่างภูเขา บวกกับบรรยากาศรายล้อมที่สวยงามตราตรึง ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนกำลังก้าวย่างอยู่ในสวรรค์จริงๆ
หากมาถึงอุทยานเขาเทียนเหมินซานแล้ว ก็ต้องแวะไปเที่ยวสไตล์“Follow the Most” ด้วยการขึ้นบันไดเลื่อนยาวที่สุดในโลกกว่า 5 กิโลเมตรระหว่างทางไป-กลับถ้ำเทียนเหมินซาน หรือจะเก็บระยะแนวดิ่งด้วยการขึ้นลิฟต์เพื่อชมวิวยอดเขาซึ่งลิฟต์นี้ได้ชื่อว่าเป็นลิฟต์นอกอาคารที่สูงและเร็วที่สุดในโลกมีความสูงถึง 326 เมตร หากยังไม่สะใจก็ต้องไปเก็บภาพมุมสูงกันต่อบนกระเช้าที่ได้รับการบันทึกว่ามีความยาวที่สุดถึง7.5 กิโลเมตร เพิ่มความตื่นตาตื่นใจอีกนิดด้วยการเดินเล่นบนสะพานแก้วข้ามหุบเขาที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวกว่า 430 เมตรและสูงจากพื้นดินถึง 300 เมตรแต่ถ้ายังต้องการให้ชีพจรเต้นเร็วขึ้นอีกนิด แนะนำให้เดินไปยัง ระเบียงผันหลงหยา ระเบียงกระจกริมหน้าผายาวกว่า 60 เมตร รับรองความตื่นเต้นอย่างแน่นอน
ไม่ใช่แค่คนรักธรรมชาติเท่านั้นจางเจียเจี้ย ยังเหมาะสำหรับกลุ่มฮิปสเตอร์และแฟชั่นนิสต้าอย่างมาก กับสไตล์การท่องเที่ยวแบบ “Feel the Past”ซึมซับบรรยากาศเมืองที่สร้างขึ้นในราชวงศ์ถัง อย่าง เมืองโบราณเฟิ่งหวง เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุทรงคุณค่าตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิงเดินชิลชมเมืองได้เรื่อยๆ บนถนนที่ปูด้วยหินสีเขียวกว่า 20 สาย ส่วนฉากหลังบ้านเรือนเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและอาหารท้องถิ่นให้กับบรรดานักท่องเที่ยว ก็ทำให้หลายคนยกกล้องขึ้นมาถ่ายอย่างสนุกสนาน ซึ่งจุดไฮไลต์ของเหล่าช่างภาพมักอยู่กันที่สะพานสายรุ้งอันเก่าแก่ อีกทั้งเมืองนี้ยังมีความสวยงามทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน โดยช่วงเวลาค่ำนักท่องเที่ยวสามารถชมแสงสีที่ถูกประดับประดาไปทั่วเมืองแถมด้วยการต้อนรับจากชนเผ่าถู่เจียงที่ล่องเรือมาขับร้องเพลงให้ได้เพลิดเพลินกันอีกด้วย และหากมีโอกาสล่องเรือในแม่น้ำถัวเจียงด้วยแล้ว รับรองว่าการเดินทางครั้งนี้จะพิเศษกว่าครั้งไหนๆ
นอกจากนี้ จางเจียเจี้ย ยังสามารถเที่ยวแบบ “Touch the Art” เพราะเป็นดินแดนศิลปะที่นักท่องเที่ยวมักเข้ามาเก็บเกี่ยวความงดงาม ทั้งศิลปะที่บรรเลงโดยธรรมชาติ อาทิภาพเขียนสิบลี้วิวธรรมชาติซึ่งเกิดจากแนวช่องแคบของทิวเขาเทียนจื่อซาน ประกอบด้วยยอดเขารูปร่างแปลกพิสดารกว่า 200 ยอดสลับซับซ้อนกันไป โดยมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านตามแนวทิวเขาคดเคี้ยว เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงามราวกับภาพเขียนพู่กันจีน ที่มีความยาวต่อเนื่องถึง 3 กิโลเมตรในอุทยานแห่งชาติอู่หลิงหยวน นอกจากนั้นยังมีงานศิลปะที่รังสรรค์โดยมนุษย์ภายในพิพิธภัณฑ์จวินเซิงฮว่าเยี่ยน นั่นคือจิตรกรรมภาพเม็ดทรายที่ใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น กรวดสี เม็ดทราย กิ่งไม้ หิน มาจัดแต่งเป็นภาพทิวทัศน์ต่างๆ โดยผู้ริเริ่มศิลปะแบบใหม่และเป็นจิตรกรที่ได้รับรางวัลและมีชื่อเสียงระดับโลก นามว่า หลี่จวินเซิง
หากยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มสตาร์ทเมื่อไร…จางเจียเจี้ย จุดหมายหนึ่งที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี หากเลือกเดินทางในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์นักท่องเที่ยวก็จะได้รับประสบการณ์จากลมหนาวที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 4 องศาเซลเซียส หรืออาจจะต่ำกว่านั้นเมื่ออยู่บนที่สูงหรือขึ้นสู่ยอดเขาซึ่งในเดือนมกราคม จะเป็นช่วงหนาวที่สุดของปีด้วยแล้วก็จะมีโอกาสได้ชื่นชมทิวทัศน์ธรรมชาติของภูเขาในมุมที่แปลกตาออกไป เพราะยอดเขาเหล่านั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนั่นเอง
ลมหนาวในเมืองไทยอาจทำให้อารมณ์ดี รู้สึกสบายตัว และมีความโรแมนติกซ่อนอยู่ แต่ถ้าอยากเพิ่มความฟินอีกขั้น แนะนำให้เก็บกระเป๋าออกเดินทาง เก็บเกี่ยวความสุขกันที่ฉางซา ปักหมุดช่วงปลายปีนี้กันที่ “จางเจียเจี้ย” แล้วความทรงจำที่ล้ำค่าจะปรากฏขึ้นในใจของทุกคนอย่างแน่นอน