หลังจากเมืองไทยได้ฉลองชัยกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมกันไปแล้ว ก่อนอำลาเดือนแห่ง ‘เทศกาลไพรด์’ หรือ Pride Month ไปในปีนี้ Bkk Variety ขอปิดท้ายฉลองชัยกับชาวสีรุ้ง ด้วยการแนะนำหนัง 3 เรื่อง 3 รสที่สร้างมาจากเรื่องจริง เหตุการณ์จริงในการต่อสู้ การฟันฝ่าอคติทางสังคม และแง่มุมชีวิตกับความรักของชาวสีรุ้งที่น่าสนใจและน่าดูมากๆ มาฝากกัน
- The Danish Girl (2015)
สร้างจากเรื่องจริงของ ไอนาร์ เวเกเนอร์ (แสดงโดย เอ็ดดี้ เรดเมน) จิตรกรชื่อดังชาวเดนมาร์ก และ เกอร์ดา (อลิเซีย วิกันเดอร์) ภรรยาซึ่งเป็นจิตรกรเหมือนกัน แต่ยังหาแนวทางของตัวเองไม่เจอทำให้ผลงานไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งคู่แต่งงานกันแต่ก็ไม่มีลูกด้วยกัน ชีวิตครอบครัวก็ดูปกติดี แม้จะมีเรื่องที่ไม่เข้ากันอยู่บ้างตรงที่ ไอนาร์ ไม่ชอบออกงานสังคม เพราะไม่อยากปั้นหน้าฝืนเป็นตัวเองในแบบที่ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงต่อหน้าใคร
ปัญหาของเขาและเธอ จึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันหนึ่งเพื่อนของ เกอร์ดา เกิดไม่ว่างมาเป็นแบบให้เธอวาด เธอจึงขอให้ไอนาร์แต่งหญิงเป็นแบบให้แทน และนั่นเหมือนเป็นการเปิดสวิทช์ตัวตนลึกๆ ข้างในของไอนาร์ เป็นครั้งแรกที่ไอนาร์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองว่า แท้แล้วเขาเกิดมาเพื่อจะเป็นผู้หญิง ที่ทุกคนรู้จักในชื่อ ‘ลิลี่’ และนับจากวันนั้นไอนาร์ก็สวมบทเป็นลิลี่ด้วยความอิ่มเอมใจ เธอทั้งไปออกงานคู่เกอร์ดา โดยบอกทุกคนว่าเป็นญาติของไอนาร์ รวมถึงเป็นนางแบบให้เกอร์ดาวาดจนกลายเป็นผลงานที่โด่งดังในที่สุด ตัวตนที่ค่อยๆ ฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ในนามลิลี่ ทำให้ไอนาร์ไม่สามารถกลับไปทำหน้าที่สามีของเกอร์ดาได้อีกต่อไป
เรื่องราวดำเนินต่อไปผ่านการหาทางออกของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ หนังถ่ายทอดผ่านชีวประวัติของจิตรกรผ่านแง่มุมของ ‘ความเข้าใจ’ อย่าง เกอร์ดา ที่เป็นตัวแทนของคนใกล้ชิด คนรัก ครอบครัว ซึ่งเป็นความเข้าใจจากคนที่สำคัญที่สุดที่ชาว LGBTQ+ ต้องการเฉกเช่นมนุษย์คนอื่นๆ ในสังคม และสุดท้ายแล้วก็คือความเข้าใจและการยอมรับจากสังคม โดยหนังได้เล่าถึงการพยายามหาทางรักษาไอนาร์ด้วยสารพัดกระบวนที่สร้างความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อยุคสมัยนั้นการเป็นเพศที่สามจะถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท เพราะขาดความเข้าใจ จึงกลายเป็นเรื่องขมขื่นใจของไอนาร์ที่ทำเอาคนดูต้องเสียน้ำตากันเลย ยิ่งการแสดงที่เข้าถึงบทชนิดแนบเนียนมากของเอ็ดดี้ เรดเมน ด้วยแล้ว ต้องปรบมือให้เค้าเลยสำหรับบทบาทสุดท้าทายในเรื่องนี้ รับชมสตรีมมิ่ง Prime Video และ Apple TV
- Boys Don’t Cry (1999)
สร้างจากชีวิตจริงของ แบรนดอน ทีนา “เขา” ผู้มีเพศสภาพเป็นผู้หญิงตั้งแต่กำเนิด แบรนดอนมีนิสัยชอบเล่นซนแบบผู้ชายๆ มาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเมื่อโตขึ้นเธอจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกและภาพลักษณ์ของตัวเองทั้ง ตัดผมสั้น ท่าทาง การพูดจา ไปจนถึงการใช้ชีวิตแบบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ มันแนบเนียนเหมือนชายหนุ่มทั่วไปจนแม้แต่แฟนของแบรนดอนเอง ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่ทุกคนเข้าใจและเห็นอยู่ตรงหน้า
จุดพีคของหนังเกิดขึ้นเมื่อความจริงเปิดเผย และนำมาสู่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือคนรัก จากที่เคยต้อนรับเขาอย่างดี กลับแปรเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม จนมันกลายเป็นโศกนาฎกรรมที่น่าเศร้า เล่นเอาคนดูคาดไม่ถึง Boys Don’t Cry ออกฉายเมื่อปี 1999 ถือเป็นหนังกระแสหลักเรื่องแรกๆ ที่นำเสนอประเด็น Transgender หรือ ‘คนข้ามเพศ’ ในสังคมเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ซึ่งยุคนั้นน้อยคนนักที่จะเข้าใจคำนี้ ยิ่งในสังคมอเมริกันคริสเตียนที่มองว่า การข้ามเพศคือความผิดบาปอย่างร้ายแรง
ความกลมกล่อมและการแสดงที่ทรงพลังทำให้หนังเรื่องนี้ยังกวาดรางวัลไปได้กว่า 50 รางวัล รวมถึงส่งให้ ฮิลลารี สแวงค์ ในบทแบรนดอน ทีนา คว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยม ในปี 2000 ซึ่งสิ่งน่าสนใจอีกอย่างก็คือ เรื่องทั้งหมดเกิดในรัฐเนบราสกา ของสหรัฐฯ ที่เป็นบ้านเกิดของฮิลลารีเองด้วย
Boys Don’t Dry เป็นหนังที่เกินความคาดหมายหลายประการตั้งแต่ความเป็นหนังทุนต่ำ แต่กลับพลิกมาทำรายได้มากถึง 11 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียงแค่ 2 ล้านเหรียญ และที่สำคัญหนังเรื่องนี้ยังสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการรับรู้และการมีตัวตนของกลุ่มคนข้ามเพศในสังคมอเมริกาได้ไม่น้อยเลย ส่วนผู้รับบทสำคัญในเรื่องคือ ฮิลลารี่ สแวงก์ ยังคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมในปี 2000 ได้สำเร็จ จากบท Brandon Teena ทำให้ฮิลลารี่ขึ้นทำเนียบเป็นนักแสดงยอดฝีมือของฮอลลีวู้ดไปเลย(ต่อมาก็ได้รับออสก้าร์ซ้ำอีกตัวในอีก 4 ปีต่อมา) สิ่งน่าสนใจอีกอย่างก็คือ เรื่องทั้งหมดเกิดในรัฐเนบราสก้า สหรัฐฯ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฮิลลารี่เองด้วย หนังเรื่องนี้สร้างหลังจากที่ Brandon Teena เสียชีวิตในปี 1993
- Maurice (2017)
หนังพีเรียดภาพสวยคลาสสิคมากๆ เรื่องนี้ ดัดแปลงบทภาพยนตร์มาจากนิยายอิงเรื่องจริงของ อี. เอ็ม. ฟอร์สเตอร์ เล่าเรื่องย้อนไป 30 ปีก่อน ในยุคที่ความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มีโทษหนักถึงขั้นจำคุกและประหารชีวิต
มอริซ (เจมส์ วิลบี) หนุ่มอังกฤษชนชั้นสูงผู้ได้รับการอบรมให้ยึดมั่นในกรอบทางสังคมผู้ดีอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก เขาได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และตกหลุมรักกับหนุ่มหล่อละมุนนามว่า ไคลฟ์ (ฮิวจ์ แกรนด์) ขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมที่ไม่ยอมรับและกม.ที่รุนแรงมาก กลายเป็นแรงบีบให้ไคลฟ์ต้องจบปัญหาชายรักชายแบบลับๆ ด้วยการแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง และตัวเขาเองก็คาดหวังให้มอริซทำแบบเดียวกัน แต่ก็อย่างว่านะ เรื่องหัวใจนี่มันบังคับกันไม่ได้จริงๆ สุดท้ายมอริซก็ได้พบกับรักครั้งใหม่กับ อเล็กซ์ (รับบทโดย รูเพิร์ต เกรฟส์) หนุ่มรับใช้ของไคลฟ์ ที่มีฐานะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันจึงกลายเป็นเรื่องรักที่เจ็บปวดในความสัมพันธ์อันแสนขมขื่นใจของพวกเขาที่ไม่อาจตัดกันได้ขาด
Maurice เล่าเรื่องผ่านภาพที่สวยงามคลาสสิกในบรรยากาศชนบทอังกฤษ คนดูจะได้เห็นคอสตูมนักแสดงที่ย้อนไปในยุควิคตอเรียน ดนตรีประกอบที่ละมุนหู และแดดดี้ฮิวจ์ แกรนด์ ก็หล่อเป็นพิเศษในหนังเรื่องนี้องค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้หนังประสบความสำเร็จงดงาม และยังได้รับ 3 รางวัลจากเทศกาลหนังเมืองเวนิสมาการันตีอีกด้วย ส่วนผู้กำกับเกย์ตัวพ่ออย่าง เจมส์ ไอวอรี่ ก็ได้รับเสียงชื่นชมมากมาย ต่อมานางยังโชว์ฝีมือผลงานการเขียนบทหนังเรื่องดังในตำนานของชาวสีรุ้งอย่าง Call Me by Your Name อีกด้วย