สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพของลูกน้อย และเมื่อพูดถึงไข้เลือดออก โรคที่มักระบาดหนักในช่วงฤดูฝน พ่อแม่ทุกคนควรมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกในเด็ก เพื่อที่จะสามารถสังเกตอาการ พาลูกไปพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงที ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต รวมถึงสามารถจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเสริมภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยต้องเผชิญกับโรคนี้ตั้งแต่ต้น
ไข้เลือดออกคืออะไร และส่งผลในเด็กอย่างไร ?
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มียุงลายเพศเมียเป็นพาหะนำโรคหลัก เมื่อยุงลายที่มีเชื้อกัดคน เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดอาการป่วยได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ มักจะแสดงอาการรุนแรงกว่าและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงกว่า
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ส่งผลให้เลือดออกง่าย หยุดยาก และอาจเกิดภาวะช็อก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรรู้วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกในเด็กเพื่อให้สามารถรับการดูแลรักษาทันที ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
พ่อแม่ควรสังเกตอาการไข้เลือดออกในเด็กอย่างไร ?
การสังเกตอาการไข้เลือดออกในระยะแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยอาการที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวังมีดังนี้
- ไข้สูงเฉียบพลัน : มักเป็นไข้สูงลอย 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ติดต่อกัน 2-7 วัน ลดลงยากแม้จะเช็ดตัวหรือให้ยาลดไข้แล้ว
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว : เด็กอาจบ่นปวดหัว ปวดตามข้อ ปวดกล้ามเนื้อ คล้ายไข้หวัดใหญ่
- หน้าแดง ผิวหนังแดง : อาจมีผื่นแดง หรือมีรอยจ้ำเลือดเล็ก ๆ ตามตัว แขน ขา
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร : เด็กจะกินอาหารได้น้อยลง หรือบางรายอาจมีอาการอาเจียน
- ปวดท้อง : อาจมีอาการปวดท้องใต้ชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป
- จุดแดงเล็ก ๆ : สังเกตได้ตามผิวหนัง หรือเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกได้ง่าย เช่น การรัดแขนด้วยหนังยาง อาจเห็นจุดแดงเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง
- อาการเลือดออกผิดปกติ : เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระมีสีดำ ซึ่งบ่งชี้ถึงเลือดออกในทางเดินอาหาร
- อาการช็อกในระยะวิกฤต : ซึม อ่อนเพลีย ไม่มีแรง กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ
ข้อควรระวัง : ในช่วงที่ไข้ลดลง (วันที่ 3-5 ของไข้) ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อโรค อาการไข้เลือดออกอาจดูเหมือนดีขึ้น แต่กลับเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นระยะที่อาจเกิดภาวะช็อกได้ หากเด็กมีอาการเหล่านี้แม้ไข้จะลดลงแล้วก็ตาม ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
สร้างเกราะป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก : จากสภาพแวดล้อมสู่ภูมิคุ้มกัน
การปกป้องลูกน้อยจากไข้เลือดออกไม่ใช่แค่เรื่องการรักษา แต่คือการสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดโปร่งไร้ยุง ไปจนถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก มาดูกันว่าพ่อแม่จะสามารถรับมือกับภัยร้ายใกล้ตัวนี้ได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ลูกรักเติบโตอย่างปลอดภัยในทุกฤดูฝน
กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เช่น โอ่ง ถังน้ำ เปลี่ยนน้ำในภาชนะที่ไม่มีฝาปิดทุก 7 วัน เช่น แจกันดอกไม้ อ่างน้ำ ปล่อยปลาหางนกยูงกินลูกน้ำในอ่างบัว หรือบ่อปลา ปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีน้ำขัง เก็บหรือคว่ำภาชนะที่ไม่ใช้แล้ว เช่น ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้
ป้องกันไม่ให้ยุงกัด
ให้เด็กนอนในมุ้ง หรือติดมุ้งลวดที่บ้าน ทายากันยุงที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวให้เด็ก โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็นที่ยุงลายชุกชุม รวมถึงใช้จุดยากันยุงหรือเครื่องดักยุงในบริเวณที่เด็กอยู่
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วย ลดโอกาสการติดเชื้อ ไวรัสเดงกีได้กว่า 80% และที่สำคัญคือลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ได้อย่างมีนัยสำคัญกว่า 90% ถือเป็นเกราะป้องกันเสริมความปลอดภัยให้ลูกน้อยของเราจากภัยเงียบที่มากับยุงลาย
การปกป้องลูกน้อยจากไข้เลือดออกคือความรับผิดชอบของพ่อแม่ที่ต้องใส่ใจ ทั้งการ สังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงไข้ลด, การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ในบ้านและรอบบ้านอย่างสม่ำเสมอ และการพิจารณาการฉีดวัคซีน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ที่จะช่วยให้ลูกรักของเราปลอดภัยจากไข้เลือดออกได้อย่างยั่งยืน